วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เครื่องจ่ายไฟคอมพิวเตอร์

ส่วนต่างๆ ของพาวเวอร์ซัพพลาย
  • ไฟกระแสสลับขาเข้า (AC Input) พลังงานไฟฟ้าในส่วนนี้ จะมาจากปลั๊กไฟ โดยที่รู้แล้วว่าไฟที่ใช้กันอยู่จะเป็นไฟฟ้ากระแสสลับที่มีขนาดแรงดัน 220v ความถี่ 50 Hz เมื่อเสียบปลั๊กไฟกระแสไฟฟ้าก็จะวิ่งตามตัวนำเข้ามายังเครื่องใช้ไฟฟ้า
  • ฟิวส์ (Fuse) เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการป้องกันวงจรพาวเวอร์ซัพพลายทั้งหมดให้รอดพ้น อันตราย จากกระแสไฟแรงสูงที่เกิดขึ้นจากการถูกฟ้าผ่า หรือกระแสไฟฟ้าแรงสูงในรูปแบบต่างๆ โดยหากเกิดกระแสไฟฟ้าแรงสูงเกินกว่าที่ฟิวส์จะทนได้ ฟิวส์ตัวนี้ก็จะตัดในทันทีทันใด
  • วงจรกรองแรงดัน วงจรกรองแรงดันนี้จะทำหน้าที่กรองแรงดันไฟไม่ว่าจะเป็นแบบกระแสสลับ หรือกระแสตรงก็ตาม ที่เข้ามาให้มีความบริสุทธิ์จริงๆ เพื่อป้องกันแรงดันไฟฟ้าที่ผิดปกติเช่นไฟกระชาก ซึ่งจะเป็นผลให้วงจรต่างๆ ในพาวเวอร์ซัพพลายเกิดความเสียหายขึ้นได้
  • ภาคเรคติไฟเออร์ (Rectifier) หลังจากที่ไฟกระแสสลับ 220v ได้วิ่งผ่านฟิวส์ และวงจรกรองแรงดันเรียบร้อยแล้วก็จะตรงมายังภาคเรคติไฟเออร์ โดยหน้าที่ของเจ้าเรคติไฟเออร์ ก็คือ การแปลงไฟกระแสสลับ ให้มาเป็นไฟกระแสตรง ซึ่งก็ประกอบไปด้วย
    • ตัวเก็บประจุ (Capacitor) จะทำหน้าที่ทำปรับให้แรงดันไฟกระแสตรงที่ออกมาจากบริดเรคติไฟเออร์ ให้เป็นไฟกระแสตรงที่เรียบจริงๆ
    • ไดโอดบริดจ์เรคติไฟเออร์ (Bridge Rectifier) ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของตัว IC หรือแบบที่นำไดโอด 4 ตัวมาต่อกันให้เป็นวจรบริดจ์เรคติไฟเออร์
    • วงจรสวิตชิ่ง (Switching) เป็นวงจรที่ใช้ในการทำงานร่วมกับวงจรควบคุม (Contrlo Circuit) เพื่อตรวจสอบว่าควรจะจ่ายแรงดันทั้งหมดให้กับระบบหรือไม่ โดยถ้าวงจรควบคุมส่งสัญญาณมาให้กับวงจรสวิตซิ่งว่าให้ทำงาน ก็จะเริ่มจ่ายแรงดันไฟฟ้าที่ได้จากภาคเรคติไฟเออร์ไปให้กับหม้อแปลงต่อไป
  • หม้อแปลงไฟฟ้า (Transformer) หม้อแปลงที่ใช้ในวงจรสวิตชิ่งซัพพลายจะเป็นหม้อแปลงที่มีหน้าที่ในการแปลงไฟ ที่ได้จากภาคสวิตชิ่ง ซึ่งก็รับแรงดันไฟมาจากภาคเรติไฟเออร์อีกต่อหนึ่ง โดยแรงดันไฟฟ้ากระแสงตรงที่มีค่าแรงดันสูงขนาดประมาณ 300 v ดังนั้นหม้อแปลงตัวนี้ก็จะทำหน้าที่ในการแปลงแรงดันไฟกระแสตรงสูงนี้ให้มี ระดับแรงดันที่ลดต่ำลงมา เพื่อที่จะสามารถใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ ก่อนที่จะส่งไปให้วงจรควบคุมแรงดันต่อไป
  • วงจรควบคุมแรงดัน (Voltage Control) เป็นวงจรที่จะกำหนดค่าของแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงที่ได้รับมาจากหม้อแปลงไฟฟ้า เพื่อที่จะให้ได้ระดับแรงดันที่เหมาะสมกับอุปกรณ์ต่างๆ โดยค่าของระดับแรงดันไฟฟ้านี้ก็จะมีขนาด 5v และ 12v สำหรับพาวเวอร์ซัพพลายที่ใช้กับเมนบอร์ดแบบ AT แต่ถ้าเป็นพาวเวอร์ซัพพลายที่ใช้กับเมนบอร์ดที่เป็นแบบ ATX ก็จะต้องมีวงจรควบคุมแรงดันให้ออกมามีขนาด 3.3v เพิ่มอีกหนึ่ง (ซึ่งซีพียูรุ่นเก่าที่ใช้แรงดันไฟขนาด 3.3 v นี้ก็สามารถที่จะดึงแรงดันไฟในส่วนนี้ไปเลี้ยงซีพียูได้เลย)
  • วงจรควบคุม เป็นวงจรที่ใช้ในการควบคุมวงจรสวิตชิ่ง ว่าจะให้ทำการจ่ายแรงดันไปให้กับหม้อแปลงหรือไม่ และแน่นอนว่าในส่วนนี้จะทำงานร่วมกับวงจรลอจิกที่อยู่บนเมนบอร์ด เมื่อวงจรลอจิกส่งสัญญาณกลับมาให้แก่วงจรควบคุม วงจรควบคุมก็จะสั่งการให้วงจรสวิตชิ่งทำงาน

ขั้วต่อต่าง ๆ
สายที่ต่อออกจากกล่องเพาเวอร์ซัพพลายจะมีลักษณะแตกต่างกันเพื่อใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ดังนี้
           "ขั้วต่อกับเมนบอร์ด"ขั้วที่ใช้ต่อเข้า กับเมนบอร์ดจะมีลักษณะที่ไม่เหมือนใคร เนื่องจากมีทั้งไฟเลี้ยงและสัญญาณมากมายจะต้องต่อเชื่อม ในยุคเริ่มแรกหรือแบบที่เรียกว่า AT จะมี 2 ขั้วต่อสำหรับเมนบอร์ดที่มักจะเรียกว่า P8 กับ P9 ขั้วต่อเหล่านี้จะมีสายไม่มากนัก เนื่องจากมีเพียงสัญญาณPower Good กับไฟ +5V , +12V , -12V และกราวด์เท่านั้น โดย +5V และกราวด์ จะมีหลายเส้นเนื่องจากจะต้องจ่ายกระแสไฟปริมาณมาก ซึ่งสายไฟขนาดต่าง ๆจะมีความสามารถในการรองรับกระแสได้จำกัดดังที่ได้แสดงไว้ในตาราง
AWG
เส้นผ่านศูนย์กลาง (มม.)
พื้นที่หน้าตัด (ตารางมม.)
รับกระแสได้สูงสุดโดย
ประมาณ (แอมป์)
16
1.29
1.31
19
18
1.02
0.82
15
20
0.81
0.52
10
22
0.644
0.33
8
          ปกติแล้วสีของฉนวนหุ้มสายไฟก็จะแตกต่างกันไปเพื่อ แสดงให้เห็นว่าเป็นไฟต่างชนิดกันแต่ก็ไม่มีการกำหนดมาตรฐานที่แน่นอนไว้ ส่วนใหญ่แล้วจะใช้สีดำเป็นกราวด์ (0 โวลต์) และแดงเป็น +5V
          ขั้วต่อของเพาเวอร์ซัพพลายแบบ ATX ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้ลดความเสี่ยงในการติดผิดได้ โดยใช้ขั้วต่อชุดเดียวที่มี 20 ขั้วต่อและเสียบสลับข้างไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีกำหนดขนาดของสายไว้ชัดเจนว่าจะต้องเป็น AWG 18 โดยสายไฟ 3.3Vที่เพิ่มขึ้นมาจะเป็นสีส้ม
          นอกจากนี้ยังมีการกำหนดมาตรฐานสำหรับสายต่อเพิ่มเติมในกรณีของเพา เวอร์ซัพพลายที่ต้องจ่ายไฟมาก ๆ ให้มีสายเพิ่มอีก 1 ชุด เป็นเบอร์ AWG 16 จำนวน 6 ขั้วต่อ สำหรับ +3.3V 2 เส้น , +5V และกราวนด์อีก 3 เส้น ส่วน SFX และ WTX ก็จะมีเพิ่มเติมอีกต่าง ๆ กันออกไป
          "ขั้วต่อเมนบอร์ด Pentium 4" สำหรับเมนบอร์ดของ Pentium 4 พาวเวอร์ซัพพลายที่ใช้จะต้องมีขั้วต่อเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นพิเศษ เพื่อจ่ายไฟที่เพิ่มมากขึ้นให้แก่ เมนบอร์ดได้ และต้องใช้แหล่งจ่ายไฟที่จ่ายกระแสได้สูงขึ้นด้วย ซึ่งขั้วต่อนี้ไม่มีอยู่ในแหล่งจ่ายไฟ ATX รุ่นเดิม ๆ ดังนั้นเมนบอร์ดนี้จึงต้องใช้กับแหล่งจ่ไฟเฉพาะสำหรับ Pentium 4 ด้วยเช่นกันดังรูป

          "ขั้วต่อไดรว์ต่าง ๆ" ขั้ว ต่อดิสก์ไดรว์จะมีลักษณะที่ต่างจากขั้วต่อเมนบอร์ด โดยมีอยู่ 2 ขนาดคือ ขนาดเล็กสำหรับฟล๊อปปี้ดิสก์ และขนาดใหญ่สำหรับอาร์ดดิสก์และไดรว์ซีดีรอม โดยทั้งหมดจะมีสาย 4 เส้นเหมือน ๆ กัน คือ ไฟ + 5V. + 12V กับกราวด์ 2 เส้น

 
 
สเป็คของเพาเวอร์ซัพพลาย
          ถ้าสนใจที่จะศึกษาหรือเรียนรู้เพิ่มเติมไม่ ว่าเพื่อการเลือกซื้อหรือประโยชน์อื่น ก็ควรจะทราบว่ามีจุดใดบ้างที่จะต้องพิจารณาและมีความหมายว่าอย่างไร
          "สเป็คและรายละเอียดทางกายภาพ" ขนาดและรูปแบบของตัวเพาเวอร์ซัพพลายก็เป็นสิ่งสำคัญถ้าต้องการซื้อมาใช้ในเครื่องที่มี
อยู่แล้ว รูปแบบหรือ Form Factor ก็คือ พิจารณาว่าเป็น ATX , micro ATX หรือ ATธรรมดา (ถ้ายังต้องการใช้อยู่)
          ขั้วต่อกับเมนบอร์ดก็เป็นส่วนสำคัญที่แบ่งแยกกันชัดเจนถึงรูปแบบ ซึ่งจะต้องขึ้นอยู่กับเมนบอร์ดที่ใช้ ได้แก่ AT , ATX , SFX , WTX เป็นต้น ส่วนขั้วต่อไดรว์ก็ต้องดูว่ามีขนาดเล็กจำนวนเพียงพอหรือไม่ ขนาดใหญ่มีเท่าไร ส่วนพัดลมก็มักจะไม่บอกว่าใช้ sleeve beating หรือ
ball bearing ส่วนทิศทางการเป่าลมก็มักจะไม่รู้จนกว่าจะทดลองเปิดดู แต่ที่เห็นแน่ ๆ ก็คือไม่ว่าขนาดใหญ่หรือเล็ก แรงดันก็มักจะเป็น 12 โวลต์ ส่วนความสามารถในการเป่าลมจะวัดเป็นCFM (Cubic Feet per Minute) คือ กี่ลูกบาศก์ฟุตต่อนาที ซึ่งยิ่งมากก็ยิ่งดี
          "สเป็คเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมในการทำงาน" ได้แก่ อุณหภูมิที่สามารถทำงานได้ ซึ่งหมายถึง่วงอุณหภูมิภายนอกว่าต่ำสุดเท่าไรและสูงสุดเท่าไร ส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงอุณหภูมิห้องของบ้านเรา (0-50°C)
          ส่วนอุณหภูมิในการเก็บ (storage temperature) ก็คือ อุณหภูมิขณะที่ไม่ได้ใช้งาน ซึ่งมักจะเป็นช่วงกว้างกว่าอุณหภูมิที่ใช้งาน ความชื้น (humidity) ก็มักจะเป็นความชื้อสัมพัทธ์ระหว่าง 10-90% และความสูงของพื้นที่จากระดับน้ำทะเล (altitude) ก็มักจะเป็นตัวเลขทีไม่มีปัญหาแม้จะเอาเครื่องขึ้นไปบนยอดดอยอินทนนท์ก็ตาม
          "ช่วงแรงดันไฟฟ้าเข้าที่รับได้"  เป็น ตัวเลขที่สำคัญ โดยมากเวลาพูดถึงแรงดันไฟฟ้าที่ใช้ จะพูดถึงตัวเลขเฉลี่ยคือ 115โวลต์หรือ 230 โวลต์ แต่ช่วงแรงดันไฟที่รับได้จริง ๆ อาจจะอยู่ระหว่าง 85-135 โวลต์หรือ170-270 โวลต์ ซึ่งถ้าไฟบ้านไม่เกินไม่ตกมากจนเกินไปก็มักจะอยู่ในช่วงที่เพาเวอร์ซัพพลาย เตรียมไว้ให้รับได้อยู่แล้ว ส่วนสำคัญก็คือ เลือกช่วงแรงดันได้หรือไม่ถ้าอาจจะมีการนำไปใช้ในประเทศอื่น ๆ ในส่วนของความถี่ของไฟบ้านก็มักจะรับได้ทั้ง 50Hz และ 60Hz อยู่แล้วโดยมี ช่วงอยู่ระหว่าง 48-62 Hz ตัวเลขสุดท้าย คือ Power Factor เป็นตัวเลขที่บอกให้เห็นประสิทธิภาพการแปลงแรงดันของเพาเวอร์ซัพพลายว่าใน ขนาดกำลังไฟที่ใช้นั้นต้องการกำลังไฟมากน้อยเพียงใด โดยมากจะทำงานอยู่ที่ 60-70% ซึ่งตัวเลขยิ่งสูงก็ยิ่งดี
          "สเป็คเกี่ยวกับที่จ่ายไฟออก" สเป็คที่สำคัญที่สุดก็คือ ไฟที่จ่ายออกมาจากเพาเวอร์ซัพพลายซึ่งแสดงให้เห็นการทำงานที่
ของมันว่า ทำได้ดีเพียงใด ตัวเลขหลักที่พูดถึงเสมอก็คือ สามารถจ่ายไฟได้สูงสุดเท่าใด (Output Rating) ในหน่วยเป็นวัตต์ ซึ่งเป็นตัวเลขคร่าว ๆ อาจไม่เพียงพอต่อการพิจารณาความสามารถ ในการจ่ายไฟจริงก็ได้ แท้ที่จริงแล้วจะต้องดูที่ความสามารถในการจ่ายกระแสได้สูงสุดสำหรับแต่ ละค่าแรงดันไฟฟ้าที่จ่ายออกมา และอาจจะต้องดูตัวเลขกำลังไฟฟ้ารวมของแรงดันไฟ +3.3V กับ +5V ว่ารวมแล้วไม่เกินกว่าเท่าใด เพราะมักจะมีผลกระทบต่อกัน (ขึ้นอยู่กับการออกแบบ) ตัวเลขการจ่ายไฟของไฟ + 12V ก็อาจจะมีแสดงทั้งตัวเลขขณะจ่ายไฟต่อเนื่องตามปกติกับขณะที่มีความต้องการ สูงในช่วงสั้น ๆ (Peak Output) ที่อาจเกิดขึ้นได้ตามปกติเช่น ตอนเปิดเครื่อง ใหม่ ๆ ที่มอเตอร์ของฮาร์ดดิสก์และอุปกรณ์อื่น ๆ บางตัวต้องใช้ไฟพร้อมกันในปริมาณมาก
 ตัวอย่าง ไฟขาออกของเพาเวอร์ซัพพลาย (ที่โฆษณาว่ามี) ขนาด 250 วัตต์ตัวหนึ่ง โดยจ่ายไฟได้สูงสุด 250 วัตต์ตลอดเวลา (Continuous Total DC Output Pattern) ดังนี้
แรงดัน
จ่ายกระแสได้สูงสุด (แอมแปร์)
คิดเป็นกำลังไฟฟ้า (วัตต์)
+12
13
12 x 13 = 156
+5V
25
5 x 25 = 125
+3.3V
16
3.3 x 16 = 52.8
-5V
0.3
5 x 0.3 = 1.5
-12V
1.2
12 x 1.2 = 14.4
รวม +5V และ +3.3V
-
ต้องไม่เกิน 150
รวม
-
156+150+1.5+14.4 = 321.9
          สังเกตว่ามีการบอกค่าสูงสุดของกำลัง ไฟฟ้ารวมสำหรับ +3.3V และ +5V ว่าต้องไม่เกินเท่าไหร่ด้วย จึงต้องใช้ค่ารวมนี้แทนการบอกแยกกัน ดังที่แสดงไว้ในตัวอย่างข้างต้น นอกจากนี้ค่ากำลังไฟรวมทั้งหมดที่เราบวกเองจากทุกแรงดันรวมกัน (321.9 วัตต์) ก็เป็นค่า Peak คือสูงสุดชั่วขณะหนึ่ง ๆ ซึ่งค่านี้ปกติจะมากกว่ากำลังไฟแบบต่อเนื่องที่จะต้องไม่เกิน 250 วัตต์เท่านั้น
การเลือกซื้อ Power Supply
         ปกติแล้วมักจะไม่ค่อยมีการเลือกซื้อเพาเวอร์ ซัพพลายกันนัก ถ้าไม่ใช่เนื่องจากตัวเก่าที่ใช้อยู่เกิดเสียหายโดยมากเราจะเลือกซื้อกันที่ เคสของเครื่องมากกว่าซึ่งเกือบทั้งหมดจะขายมาพร้อมกับเพาเวอร์ซัพพลายเลยและ มักจะมีขนาดเหมาะสมกับตัวเครื่อง คือ ถ้าเครื่องเล็ก ๆ ใส่อุปกรณ์เพิ่มเติมได้ไม่มากก็จะให้เพาเวอร์ซัพพลายขนาดเล็ก แต่ถ้าเครื่องใหญ่ก็จะใส่ตัวใหญ่ การเลือกซื้อมีวิธีการดังนี้
- ถ้าใช้เครื่องรุ่นเก่าให้เลือกซื้อขนาด 300 วัตต์
- ถ้าเป็นรุ่นใหม่ขึ้นมาหรือ P4 ควรเลือกใช้ขนาด 350 วัตต์
- ถ้าปัจจุบันใหม่ขึ้นมาควรเพิ่มขนาดเป็น 400 วัตต์
การตรวจเช็คอาการเสียของเพาเวอร์ซัพพลาย
          Power Supply ที่อยู่ในสภาพไม่พร้อมใช้งาน จะเป็นสาเหตุให้อุปกรณ์อื่นๆในคอมพิวเตอร์เสียหายได้ โดยเฉพาะ Harddisk ดังนั้นการหมั่นตรวจสอบสภาพของ Power Supply อยู่เสมอ ถ้าพบว่าเสียหายควรซ่อมแซมหรือเปลี่ยนตัวใหม่ ก่อนที่จะสายเกินไป
Power Supply มี 2 แบบ
          แบบที่ 1. แบบ Linear มีหม้อแปลงใหญ่ขนาดใหญ่ ตัดวงจรโดย Fuse
          แบบที่ 2. แบบ Switching มี Transistor ทำหน้าที่ตัดวงจร
                     2.1 แบบ XT มีขนาดใหญ่ มีหัวเดียว 12 เส้น มี Switch ปิด-เปิดอยู่ด้านหลัง Power Supply
                     2.2 แบบ AT เล็กกว่า XT มีหัวเสียบ 2 หัว คือ P8 , P9 มีสวิทช์ปิด-เปิดโยงจาก Power Supply
มายังหน้า Case
                     2.3 แบบ ATX มีหัวเสียบเดียว 20 เส้น ไม่มี Switch ปิด-เปิด เมื่อสั่ง Shut Down จาก Program
เครื่องจะปิดเองโดยอัติโนมัติ
          * ถ้าต้องการตรวจสอบการใช้งานในขณะที่ไม่ได้ต่อกับ Mainboard ให้ Jump สายสีเทา (หรือสีเขียว) กับสีดำ พัดลมของ Power Supply จะหมุน แสดงว่าใช้งานได้

การใช้มิเตอร์วัดไฟ Power Supply
ดำ + ดำ = 0 V
ดำ + แดง = 5 V
ดำ + ขาว = -5 V
ดำ + น้ำเงิน = -12 V
ดำ + ส้ม = 5 V
ดำ + เหลือง = 3.3 V
ดำ + น้ำตาล = 12 V

* เข็มมิเตอร์ตีกลับ ให้กลับสาย ใช้ค่า ติด -
*AC=220 V (L กับ N)
L1 380 Vac
L2 380 Vac
L3 380 Vac
N Nutron , G ไม่มีไฟ
*230W (23A) - 300W (30A)
โดย W=V*I

ส่วนของ Power Supply ที่สามารถตรวจซ่อมได้
1. Fuse
2. Bridge
3. Switching
4. IC Regulator
5. C ตัวใหญ่
6. IC

 
วงจรเพาเวอร์ซัพพลาย (Block Diagram)
 
 
สัญญาณต่างๆ
          นอกเหนือไปจากแรงดันไฟฟ้าที่จำเป็นแล้ว เพาเวอร์ซัพพลายเองจะต้องมีสัญญาณเข้าและ
ออกอีกมากมาย เพื่อการทำงานกับเมนบอร์ดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้

         "Power Good"คือ สัญญาณบอกว่ามีไฟเลี้ยงแล้วจ้า โดยทันทีที่เราจ่ายไฟให้กับเพาเวอร์ซัพพลาย เช่นด้วยการเปิดสวิทซ์เครื่อง เมนบอร์ดจะยังไม่เริ่มทำงานจนกว่าเพาเวอร์ซัพพลายส่งสัญญาณ Power Good นี้ออกมา ก็คือรอจนกว่าเพาเวอร์ซัพพลายจะตรวจสอบเสร็จว่าไฟเลี้ยงต่าง ๆ ที่จ่ายออกมาอยู่ในระดับที่ต้องการและคงที่แล้ว ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาประมาณครึ่งวินาที เวลาเพียงเท่านี้คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันสามารถทำงานได้นับล้านคำสั่ง จึงต้องใช้สัญญาณนี้หยุดไว้ยังไม่ให้เริ่มทำงานจนกว่าแรงดันไฟฟ้าจะสมบูรณ์ นั่นเอง บางครั้งจะเรียกสัญญาณนี้ว่า Power OK หรือOK
          ในกรณีที่เพาเวอร์ซัพพลายเกิดปัญหาขึ้นในระหว่างที่ทำงานอยู่ สัญญาณนี้ก็จะหายไปเช่น อาจเกิดจากไฟตก ไฟกะพริบ ซึ่งคอมพิวเตอร์ก็จะหยุดทำงานไปจนกว่าสัญญาณนี้จะกลับมาใหม่ ก็ทำให้เหมือนเครื่องถูกรีเซ็ตได
          สัญญาณ Power Good นี้มีมาตั้งแต่เพาเวอร์ซัพพลายตัวแรกของเครื่องพีซี มีลักษณะเป็นแรงดันไฟ +5 โวลต์ ซึ่งเพาเวอร์ซัพพลายราคาถูก ๆ บางตัวอาจจะไม่มีวงจรอะไรพิเศษ

          "Soft Power"เครื่องพีซี สมัยก่อนและที่ปัจจุบันเรียกว่า แบบ AT จะมีสวิทซ์เปิดปิดวงจรไฟฟ้าที่จ่ายเข้าไปให้กับเพาเวอร์ซัพพลายโดยตรงเหมือ นสวิทซ์ปิดเปิดไฟตามบ้านทั่วไป แต่ในยุคของเครื่องแบบ ATX ซึ่งรวมไปถึง NLX , SFX และ WTX ได้เปลี่ยนวิธีการปิดเปิดเครื่องไปเป็นการใช้สัญญาณบอกให้เพาเวอร์ซัพพลาย เปิดหรือปิดเครื่อง เหมือนกับการใช้รีโมตคอนโทรลเปิดปิดทีวีสมัยนี้นั่นเอง วิธีการแบบนี้เรียกว่า Soft Power ซึ่งทำให้ Windows สามารถสั่งปิดเครื่องได้และผู้ใช้สามารถเปิดคอมพิวเตอร์ด้วยวิธีการอื่น ๆ เช่น กดปุ่มบนคีย์บอร์ดแทนการกดสวิทซ์หน้าเครื่อง
          

         "Power on"สัญญาณที่ใช้เปิด ปิดเครื่องนี้เรียกว่า Power on หรือ PS on ซึ่งจะเป็นไปได้ก็คือจะต้องมีไฟเลี้ยงเครื่องอยู่เล็กน้อยตลอดเวลา เหมือนกับที่คุณเห็นทีวีมีไฟเรืองแสงอยู่ ไฟเลี้ยงนี้เรียกว่า +5V Stand by หรือ +5V SB ซึ่งเป็นไฟ +5 โวลต์ที่จ่ายออกมาจากเพาเวอร์ซัพพลายอยู่ตลอดเวลาแม้ว่าจะสั่งปิดไปแล้วก็ ตาม นอกจากจะจ่ายเพื่อให้สามารถเปิดปิดเครื่องในแบบsoft Power ได้แล้วยังช่วยให้สามารถสั่งเปิดเครื่องด้วยสัญญาณอื่น ๆ ได้อีก ได้แก่ เมื่อมีโทรศัพท์เข้ามาที่โมเด็ม (Wake on Ring) หรือผ่านทางระบบเครือข่าย (Wake on LAN)
          นอกเหนือไปจากที่กล่าวมาแล้ว เพาเวอร์ซัพพลายบางตัวยังอาจจะมีสัญญาณอื่น ๆ ซึ่งได้กำหนดไว้ในมาตรฐานแล้ว่าไม่จำเป็น คือ อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ เช่น +3.3V SB (Stand by)ในเพาเวอร์ซัพพลายแบบ ATX , สัญญาณ Fan ON/OFF ในเพาเวอร์ซัพพลายแบบ SFX และสัญญาณอื่น ๆ ในเพาเวอร์ซัพพลายแบบ ATX และ NLX ดังนี้
          "+3.3V Sense" เป็นตัวบอกกับเมนบอร์ดว่าไฟเลี้ยง +3 นั้นอยู่ในสถานะที่ดีหรือไม่เพื่อแสดงสถานะของไฟเลี้ยง +3.3V ซึ่งถือได้ว่าสำคัญมากเนื่องจากใช้เลี้ยงซีพียูและ RAM นั่นเอง โดยไฟ +3.3V อาจจะตกโดยที่ไฟอื่น ๆยังดีอยู่ก็เป็นได้
          "Fan C" เป็นสัญญาณควบคุมพัดลม เพื่อให้ความเร็วพัดลมของเพาเวอร์ซัพพลายเปลี่ยนแปลงหรือหยุดไปได้ เช่น เมื่อเครื่องเข้าสู่ Stand by mode ก็สั่งหยุดพัดลมของเพาเวอร์ซัพพลายด้วยการส่งสัญญาณที่ต่ำกว่า 1 โวลต์ไป
          "Fan M" ใช้คู่กับ Fan C เป็นสัญญาณ monitor เพื่อตรวจสอบว่าขณะนี้พัดลมของเพาเวอร์ซัพพลายหมุนด้วยความเร็วเป็นอย่างไร เพื่อจะเตือนหรือหยุดการทำงานของซีพียูถ้าพัดลมทำงานผิดปกติ เพื่อป้องกันความเสียหายเมื่อระบบระบายความร้อนมีปัญหา
สัญญาณของเมนบอร์ด ATX
      นอกจากนี้ในเพาเวอร์ซัพพลายแบบของเมนบอร์ด ATX ยังเพิ่มสัญญาณต่อไปนี้อีกด้วย
          "Sleep" สั่งให้เพาเวอร์ซัพพลายเข้าสู่ Sleep mode
          "+3.3V" AUX เป็นไฟ + 3.3V Stand by เหมือนกับของ +5V
          "+5V Sense" ใช้บอกสถานะของไฟ +5V เหมือนกับของ +3.3V

อุปกรณ์ในคอมพิวเตอร์ กำลังวัตต์ที่อุปกรณ์ใช้

หน่วยประมวลผล CPU 15 - 45 วัตต์

Mainboard 20 - 30 วัตต์

Hard disk 5 - 15 วัตต์

CD-ROM drive 10 - 25 วัตต์

หน่วยความจำ RAM 5 - 11 วัตต์

Floppy disk drive 5 วัตต์

การ์ดแสดงผล AGP 20 - 30 วัตต์

การ์ด PCI เช่นการ์ดเสียง 5 วัตต์

การ์ด SCSI 20 - 25 วัตต์

การ์ด LAN 4 วัตต์ พัดลมระบายความร้อน 2 - 4 วัตต์


ประเภทของพาวเวอร์ซัพพลาย
ประเภทของ Power Supply แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่คือ
  • AT เป็นแหล่งจ่ายไฟที่นิยมใช้กันในประมาณ 4-5 ปีก่อน (พ.ศ. 2539) โดยปุ่มเปิด - ปิด การทำงานเป็นการต่อตรงกับแหล่งจ่ายไฟ ทำให้เกิดปัญหากับอุปกรณ์บางตัว เช่น ฮาร์ดดิสก์ หรือซีพียู ที่ต้องอาศัยไฟในชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่จะเปิดเครื่อง (วิธีดูง่ายๆ จะมีสวิตซ์ปิดเปิด จากพาวเวอร์ซัพพลายติดมาด้วย)
  • ATX เป็นแหล่งจ่ายไฟที่นิยมใช้ในปัจจุบัน โดยมีการพัฒนาจาก AT โดยเปลี่ยนปุ่มปิด - เปิด ต่อตรงกับส่วนเมนบอร์ดก่อน เพื่อให้ยังคงมีกระแสไฟหล่อเลี้ยงอุปกรณ์ก่อนที่จะปิดเครื่อง ทำให้ลดอัตราเสียของอุปกรณ์ลง โดยมีรุ่นต่างๆ ดังนี้
    • ATX 2.01 แบบ PS/2 ใช้กับคอมพิวเตอร์ทั่วๆไปที่ใช้ตัวถังแบบ ATX สามารถใช้ได้กับเมนบอร์ดแบบ ATX และ Micro ATX
    • ATX 2.03 แบบ PS/2 ใช้กับคอมพิวเตอร์แบบ Server หรือ Workstation ที่ใช้ตัวถังแบบ ATX (สังเกตว่าจะมีสายไฟเพิ่มอีกหนึ่งเส้น ที่เรียกว่า AUX connector)
    • ATX 2.01 แบบ PS/3 ใช้กับคอมพิวเตอร์ที่ใช้ตัวถังแบบ Micro ATX และเมนบอร์ดแบบ Micro ATX เท่านั้น